Something about Siamese minority

25/10/2009

ล้อต๊อกหรืออริสโตเติล

 by SiameseMinority @ 07. Sep. 2009. – 17:14:10 “ตลก คือการฝ่าฝืนจากความเป็นปกติ หรือการกระทำในสิ่งที่มันไม่น่าจะเป็น” ข้อความข้างบน เป็นเนื้อหาใจความที่ทั้งอริสโตเติลและล้อต๊อกเคยพูดเอาไว้ คราวนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าเมื่อยามเราอยากเอาไปอ้าง หรือเอาไปถือเป็นคำสอนในการปฏิบัติ เราจะอ้างอิงใคร เช่นเดียวกับการทำงานวิจัย มันดูเหมือนว่า ยิ่งเราเข้าใกล้องค์ความรู้ที่ผลิตหรือขโมยมาโดยฝรั่งมากเท่าไหร่ เรายิ่งไม่กล้าอ้างอะไรที่เกี่ยวข้องหรือมีต้นตอมาจากสิ่งที่ใกล้ตัวเราเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เท่าๆกับน่ากลัว เพราะก่อนที่ฝรั่งจะสร้างองค์ความรู้อะไรที่เป็นของตัวเค้า (แต่ดันพยายามเอาไปอธิบายโลกและครอบงำโลกเรื่อยมานี้) ฝรั่งเองก็ต้องหาองค์ความรู้ที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว และองค์ความรู้ที่ว่านี้ มันไม่ได้ออกเป็นลูกอยู่บนต้นไม้หรือว่ายอยู่ในน้ำ แต่มันอยู่ในภาษาที่มนุษย์ประดิษฐ์ไว้สื่อสารกัน ถ้าเป็นแบบนั้น ลองนึกดูสิ ภาษาที่เก่าแก่ ก็คงไม่พ้น จีนหรืออาหรับใช่มั้ย ดังนั้นที่บอกว่าน่ากลัวก็เพราะว่า ระบบการอ้างอิงในงานวิจัยมันเกิดมาก็หลังจากที่พวกฝรั่งที่ไม่เคยอ้างองค์ความรู้จากอารยธรรมดั้งเดิมก่อนหน้าเลย และเมื่อพวกฝรั่งได้เริ่มก่อร่างองค์ความรู้ ว่าเป็นของตัวเองแล้ว คราวนี้ ก็สร้างระบบการอ้างอิงขึ้นมา ตรงนี้เองที่ระบบการครอบงำโดยองค์ความรู้อย่างฝรั่ง ได้เริ่มแผ่กว้างคลุมทับองค์ความรู้ที่เหลือของวัฒนธรรมอื่นๆ คำถามคือ ในเมื่อการวิจัยได้พยามค้นคว้าหาองค์ความรู้ โดยเฉพาะในช่วงยุคหลังสมัยใหม่นี้ (นี่ก็เป็นวิธีแบ่งกระบวนทัศน์แบบฝรั่งเช่นกัน)ซึ่งได้พยายามเอา บริบทเข้ามาทำความเข้าใจองค์ความรู้นั้นๆ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นของเรา ปักฐานตรงที่ความรู้ของเราได้แตกหน่อแล้วอ้างอิงอย่างเป็นระบบ แต่ก็นั่นแหละ หากว่าเสรีภาพในการตั้งคำถามและหาคำตอบ ยังเป็นแบบที่เราๆ ท่านๆเห็นอยู่แบบนี้ ก็สมควรแล้ว ที่จะต้องอม(หมาก)ฝรั่งกันต่อไป เพื่อความปลอดภัยของตัวและเจ็ดชั่วโคตรของเราไง

“เป็นคนไทยต้องสามัคคีกัน”

ใครที่ได้ยินประโยคนี้ก็ต้องพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ก่อความ “วุ่นวาย” เดี๋ยวเค้าหาว่าไม่เป็นคนไทยละยุ่งเลย เกิดเป็นคนไทยต้องสามัคคี ทำไมต้องสามัคคี และความหมายของสามัคคีนี้ ตั้งใจให้หมายถึงอะไร เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนที่กำลังนั่งเขียนอยู่นี้ มีคนสองกลุ่มขึ้นไปกำลังใช้ความรุนแรงทางกาย ทำร้ายกัน ที่บริเวณเขาพระวิหาร เชื่อหรือไม่ว่าเขาเหล่านั้น ทั้งหมด พูดกันรู้เรื่อง เพราะเค้าใช้ภาษาเดียวกัน แต่ทำไมไม่พูดหละ ทำไมเอาอาวุธมาปะกันแทนการพูดจากัน อันนี้สิน่าตั้งคำถาม มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่นอกจากสื่อกันด้วยภาษาที่ผ่านการพูดแล้ว มนุษย์ยังมีสติ ซึ่งไม่มีในสัตว์อื่นๆ หมายความว่า มีเหตุผลในการคิดก่อนที่จะใช้สัญชาตญาณผ่านอรามณ์และความรู้สึก ฉันไม่ได้กำลังจะบอกว่า พวกเขาไม่ใช่มนุษย์แต่เพราะเขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสได้พูด ได้คุยกันหรือเปล่า เหตุและผลมันจึงลอยอยู่ในสายลม ฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าพันธมิตรหรือไม่ก็ตาม แต่การสื่อสารของพวกเขา ผ่านทางทีวีและเครือข่าย คนทั้งสองกลุ่มต่างมีความเชื่อและยึดถือความเชื่อนั้นไว้เหนียวแน่น ฝ่ายหนึ่งมีสื่อกระแสหลักเป็นเครื่องมือ เช่น ทีวีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ASTV เวบไซต์ที่ไม่โดนปิด โดยตัดข้อมูลด้านอื่นๆ ออกทั้งหมด อีกฝ่ายหรึ่งเห็นว่าการทำแบบนี้จะทำให้แหล่งทำกิน เป็นชีวิตของเค้ากำลังเดือดร้อน หมายความว่าคนที่กำลังตีกันอยู่นั่น เค้าไม่ได้อยากคุยกันแล้ว เสียงคนที่นั่งอยู่หน้าทีวีที่บ้าน เกิดความรักชาติ เสียดายดินแดนขึ้นมาทันที ตะโกนใส่ทีวีว่า “คนอีสานนี่มันโง่ คนใต้อุตส่าห์ขึ้นไปช่วยแล้ว ยังมาตีเค้าอีก ดี ปล่อยให้มันเสียดินแดนซะเลย” คนอีสานคือใคร ไม่ใช่คนใต้และไม่ใช่คนไทยหรือ? ไปช่วย ช่วยอะไร ไปตีคนไทยกันเองแล้วรักษาดินแดนได้หรือ? ทำไมเค้าถึงเดือดร้อน? เคยตั้งคำถามมั้ย? เพราะพื้นที่ร่วมตรงนั้นเป็นที่ทำกิน แหล่งเศรษฐกิจของเค้ามาโดยตลอดหรือเปล่า? คนที่นั่งลุ้นอยู่หน้าทีวี เมื่อประเด็นนี้จางหาย (เมื่อผลประโยชน์ระหว่างนักการเมือง ประชาธิปัตย์ พันธมิตร ทหารและ อำมาตย์ลงตัว) คราวนี้ คนใต้ก็กลับไปประกอบธุรกิจในชีวิตประจำวันเหมือนเดิม แต่คนที่อยู่ตรงนั้นสิ ที่ทำกินเปลี่ยนไป หลายครอบครัวเป็นญาตกัน ไปมาหาสู่กัน ถูกปิดกั้นระหว่างกัน ใครเดือดร้อน? ชีวิตใครโดนกระทบมากกว่า คนใต้ที่เสียพื้นที่(ตามจินตนาการ)4.6 ตารางกม.หรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้น โรงแรม รีสอร์ท โรงงานที่ต่างชาติอาศัยภรรยาคนไทย ซื้อที่ดิน ตั้งฐานธุรกิจ กินพื้นที่ไปเท่าไหร่ เราต้องควรตามไปยึดดินแดนไทยคืนมั้ย? หลายที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจด้วย และพวกนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่เขมรนะ เราจะไปเอาคืนมั้ย? ความน่าเบื่อที่สุดคือความบิดเบือนข้อมูลของเครือข่ายพันธมิตร เช่น เมื่อเราปิดทางขึ้นแล้วกัมพูชาขึ้นเขาพระวิหารไม่ได้ ต้องทำกระเช้าลอยฟ้าแทน!!! แล้วทุกๆปีที่คนกัมพูชาขึ้นลงไปมาบนเขาพระวิหาร ด้วยรถกระบะบ้าง มอเตอร์ไซต์บ้าง เค้าไปกันยังไง ที่สำคัญคือตอนนี้ เรื่องรักชาติ เขาพระวิหาร เหมือน เดชาวู คือย้อนไปตอนที่จอมพล ป. ขุดประเด็นสร้างชาติและรักชาติเพื่อผลประโยชน์การเมืองกับคู่แข่งกลับมาอีกครั้ง แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ ปัจจุบันนี้ มีโอกาสที่เราสามารถหาข้อมูลที่หลากหลาย หลายด้าน แต่ก็เข้าใจได้ เพราะระบบการเซ็นต์เซอร์ที่เข้มงวด ดังนั้นจึงขอบอกแค่ว่า เป็นคนไทยด้วยกันแทนที่จะต้องมานั่งสร้างภาพสามัคคีกัน เราควรบอกกันว่า “เป็นคนไทยด้วยกัน ต้องไม่หลอกกัน” เอาตรงนี้ให้ผ่านก่อนดีกว่ามั้ย

นักเรียนนอกฯกับมายา(อ)คติ

ขอพูดเรื่องการที่ถูกตีตราว่าเป็นนักเรียนนอกแล้วต้องโดนล้างสมอง อันนี้ไม่ได้มาให้เวลากับการแก้ต่างอะไรให้ใคร แต่เป็นความคิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอๆมาเองตั้งแต่ก่อนจะออกจากประเทศบ้านเกิดไปหาความรู้ที่ประเทศอื่นๆ

เมื่อก่อนเห็นอาจารย์รุ่นเก่ากว่า เค้าตั้งก๊กนินทากันว่าคนที่จบกลับมาจากเมืองนอก มักไม่เข้าใจบริบทไทย แล้วก็ชอบเอาความคิดสดๆ หมาดๆมายัดใส่กับคนไทย วัฒนธรรมไทย ที่มันมักจะไปกันไม่ได้ บ้างก็ว่าคนที่จบจากเมืองนอกมักคิดว่าคนไทยนี่โง่ ต้องอาศัยความคิดแบบฝรั่งเท่านั้นถึงจะรอด หายโง่ แล้วก็เหมาเอาว่า คนที่จบเมืองนอก ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาดกว่า และมักจะลงท้ายแบบเหน็บๆว่า สงสัยตัวเองจะเป็นองุ่นเปรี้ยว ไม่ได้ไปเรียน เลยว่าคนที่ได้ไปเรียน..ประมาณนี้

ข้าพเจ้าเองก็กังขากับเรื่องนี้มานาน ถ้ามันมีแต่พวกหัวนอก บ้าตามฝรั่ง แล้ว รัฐบาลใยต้องส่งคนไปเรียน ทุกๆปี ร่วมร้อยปี ถ้าสืบไล่ขึ้นไป ใยสมัยร้อยกว่าปีก่อนต้องถึงกับส่งลูกส่งหลานนับร้อยออกไปให้ฝรั่งสอน ? หรือว่าเป็นเพียงกลวิธีในการไม่ตกเป็นประเทศราชของเค้า ?

ถ้าคนที่เรียนเมืองนอกในหลักสูตรที่ต้องวิจัย ก็จะเข้าใจเลยว่า ความต่างไม่ได้อยู่ที่บ้าหรือไม่บ้าฝรั่ง อันนี้ก็เป็นความเห็นของข้าพเจ้าว่า ความสำคัญมันอยู่ที่การกล้าตั้งคำถาม แล้วดันมีแหล่งข้อมูลให้หาคำตอบได้อย่างรอบด้านต่างหาก พูดง่ายๆ ไม่ถูกสกรีน ไม่ถูกเซ็นต์เซ่อร์

ที่น่าเสียใจที่สุดก็คือ เมื่อข้าพเจ้ามาหาความรู้กับระบบอังกฤษ เข้าไปใกล้อังกฤษ ก็เห็นความบกพร่อง ด้านมืดของประเทศนี้มากมาย ที่เห็นได้ก็เพราะมันมีหลายด้านให้เราเลือกมองอังกฤษได้ ที่นี้พอเราเห็นก็อยากบอกกลับไปทางเมืองไทยว่า ที่นี่เค้าก็มีประวัติศาสตร์ที่คล้ายๆกับเรานะ โดยเฉพาะเรื่องอำนาจที่ไม่ชอบธรรมของคนกลุ่มชั้นนำ ที่เอาเปรียบ “อย่าไปตกร่องเดียวแบบเค้าที่เค้าเคยผ่านมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน” เค้าก็หาว่าเราคงถูกล้างสมอง แล้วก็พาลไปสดุดีความคิดเก่าเก็บของตัวเองที่มีมาก่อนว่า คนไปเรียนเมืองนอกคงบ้าฝรั่งกันไปหมด เห็นฝรั่งดีไปหมด ในขณะเดียวกัน เราก็ยิ่งตอกย้ำเหมือนกัน ย้ำความคิดที่ว่า เพราะความรู้ที่ถูกปิดกั้น (เหมือนยุโรปช่วงก่อน Enlightenment) มันจะนำสังคมไปสู่ความมืดบอด แต่แล้วเราก็เข้าใจได้ ว่า เราคนเดียวในช่วงเวลาสั้นๆ คงยังไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนในความคิดอะไรให้ใครได้ หรือแม้กระทั่งกับข้าพเจ้าเอง

ก็ในเมื่อยุคกลาง (Medieval) ที่มนุษย์ยังมีศาสานจักรเป็นเครื่องมือแข็งแรงในการปกครอง มีความเชื่อว่า กษัตริย์เป็นเทพเจ้า (ประมาณ ค.ศ. 1500 กว่าๆ) ชนชั้นปกครองมีอำนาจมาก มากแค่ไหนลองดูร่องรอยการอุทิศของคนธรรมดาผ่านการสร้างโบสถ์ สร้างเมือง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความยุติธรรมของการใช้แรงงานเลย ซึ่งกว่าที่คนจะหลุดพ้นความคิดเรื่องพระเจ้าเป็นใหญ่ โลกอยู่กลางจักรวาล ก็ต้องใช้เวลานับร้อยๆปี กว่าจะตื่นรู้ก็ปาเข้าไปช่วง ค.ศ.1700-1800 กว่าแล้ว จะเห็นได้ว่าต้องใช้เวลานาน จึงไม่แปลกที่ปฏิวัติฝรั่งเศสจะเกิดในช่วง 1700กว่าๆ ที่เกิดได้ก็เพราะมีการปฏิวัติความรู้ก่อนนั่นเอง

กลับมาย้อนดูตัวเราบ้าง เมืองไทยนั้นก็มีการพยายามปฏิวัติความรู้อยู่หลายครั้ง จะเรียกว่าไม่สำเร็จเลยก็ไม่ถูกนัก แค่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่แปลกอีกน่านแหละ ที่คนที่กลัวเสียอำนาจจะต้องระวังเรื่องความรู้ของคนในสังคมมาก กระบวนการเซ็นต์เซ่อร์ จึงเป็นทั้งนโยบาย งานหลัก และงานรองของรัฐบาลขวาตกขอบอย่างที่เราเห็น ถ้าความรู้เป็นเหมือนอาวุธ มันก็สามารถปกป้องคนที่มีอาวุธ แต่ดูเหมือนว่า ความรู้ของสังคมไทย คือ มีด คือ พร้า อันเล็กอันน้อย ที่จะต้องคอยมีคนเหลาด้ามให้ถือ บ้างก็ถือให้ด้วยซ้ำ

ดังนั้น การไปเรียนเมืองนอก จึงไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นจุดเปลี่ยนของทุกคนหรอก มันขึ้นอยู่กับว่า คนๆนั้น กล้าตั้งคำถามหรือเปล่า ตอนอยู่เมืองไทย ข้าพเจ้าก็หาคำตอบในคำถามอันหนึ่งนี้มานาน ก็มีคำตอบเท่าที่พอหาได้ เพียงแค่เมื่อมาเห็นกรณีศึกษาที่อื่นๆ มันก็ต่อจิ๊กซอว์ได้มากชิ้นขึ้น ก็แค่นั้นเอง

จึงขอบอกคนที่มีมายา (อ)คติกับคนที่ไปเรียนเมืองนอกว่า อย่าตัดสินกันโดยแค่นั่งกอด-อก ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้าง แล้วลองหาคำตอบเองดูสิ มันไม่จำเป็นต้องมาเมืองนอก ก็สามารถให้คนอื่นมาล้างสมองได้เหมือนกัน ไม่เชื่อ ก็ลองเริ่มตั้งคำถามดูสิ

06/10/2009

Delft_Netherlands

Filed under: General point of view — siameseminority @ 19:14
Tags: , ,

It is always nice to find opportunity to open eyes to the world. Recently Norn delivered his work at a conference in Rotterdam. Then we managed to navigate around other part of Europe from 1st to 15th October 2009. There, we looked a bit more like Thai immigrant in Europe. People here are not so different from the place where we are living, Newcastle, England. But the most notable impression here is about the way they travel in the city. Most of public transport here relies on mass transport and bicycle.

Blog at WordPress.com.